Showing posts with label android. Show all posts
Showing posts with label android. Show all posts

Thursday, February 2, 2012

Review Go Launcher EX

เพิ่งเคย Review Mobile Application ครั้งแรกเขิลเหมือนกันแฮะ วันนี้ตัวกระผมมี App จำนวน 1 ตัวไม่มากไม่น้อยมานำเสนอ ตัวนั้นมีชื่อว่า Go Launcher EX นั่นเอง ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนกำลังใช้อยู่ หลายคนรู้จักแต่ไม่ได้ใช้ และหลายคนไม่รู้จักเลย แต่ในเมื่อเราเลือกเป็นชายชาติ Android แล้ว รู้จักไว้ซักหน่อยก็ไม่เสียหายนะ

Home Replacement Application คืออะไร
ป๊าดโถ่ะ!! ง่ายนิดเดียว (แล้วเมิงจะให้มาทำความรู้จักก่อนทำไม) ก็ตัว Operating System ของ Android เนี่ย มันเป็น Open Source อย่างที่ทุกคนรู้ คราวนี้ เมื่อผู้ผลิตมือถืออยากจะผลิตมือถือ Android ซักเครื่องเนี่ย ก็จะต้องเอา Source Code จาก Android ไปเพื่อ Modify เป็น Version ของผู้ผลิตเอง ยกตัวอย่างเช่น Sense UI ของ HTC หรือ Android ที่เราคุ้นตาในทันทีที่เราเปิดเครื่องใหม่มาใช้ ไม่ว่าจะเป็น LG, Samsung, หรือ Motolora นั่นเอง คราวนี้ปัญหามันเกิดตรงที่ว่า Launcher ที่เกิดจากการ Modify จากผู้ผลิตมือถือเนี่ย ความยืดหยุ่นค่อนข้างน้อย หรืออาจจะมีปัญหาอื่นเช่น แดรกแบตเตอรี่ หรือ เรนเดอร์หน้าจอค่อนข้างช้า มันก็เลยเกิด Application จำพวก Home Replacement ขึ้นมายังไงล่ะจ๊ะ

Home Replacement Application มีอะไรบ้าง
เท่าที่หาใน Android Market มาเนี่ย ค่อนข้างจะมีมากมายหลายตัวอยู่เหมือนกัน แต่ตัวที่เด่นดังเนี่ย น่าจะมีอยู่ประมาณ 3 - 4 ตัวเห็นจะได้ (ความเห็นส่วนตัว) ก็คือ Go Launcher EX, Launcher Pro Plus, ADW Launcher บางตัวฟรี บางตัวก็ไม่ฟรี ซึ่งแต่ละตัวก็มีความสามารถรวมถึงรูปแบบที่แตกต่างกัน ก็แล้วแต่ชอบละกันนะจ๊ะ

มาเริ่มทำความรู้จัก Go Launcher EX กันได้
พอกดค้นหาคำว่า Launcher ใน Android Market เท่านั้น Go Launcher EX ก็จะโผล่มาให้เราเห็นทันควัน พอกดมาดูว่า App นี้มี Rating เท่าไหร่ ก็พบว่า โอ้ว!! ได้ตั้ง 4.7/5 จากผู้ให้คะแนน 290,566 ราย (ซึ่งข้อมูลมีจำนวนมากพอ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานมีไม่มาก ชี้ให้เห็นว่า App นี้น่าสนใจอย่างมีนัยสำคัญแล้วล่ะ (ว่าไปนั่น)
อีกหนึ่งประเด็นที่มักถูกมองข้ามคือ ใครคือผู้ผลิต อย่าลืมลองไปหาข้อมูลพวกนี้ไว้ด้วยก้ไม่เสียหายนะจ๊ะ คราวนี้ลองมาดูในรายละเอียดในหน้า Market ดูว่า GLEX ตัวนี้ทำอะไรได้บ้าง

- มันบอกว่ามี Themes ให้เลือกใช้เป็นพัน (ฟรีอีกตะหาก)
- มี Widgets ให้เลือกใช้มากมาย เช่น GO Calendar, GO Task Manager
- มี Effect การเปลี่ยนหน้าจอที่หลากหลาย
- ให้ความรู้ลึกลื่นไหลเวลาเปลี่ยนหน้าจอ
- สร้าง Folder เพื่อจัดชนิดของ Application ได้
- เปลี่ยน Icons, ซ่อน App Icons, และ Uninstall Apps ได้
อ่านจบแค่นี้ก็ไม่ต้องคิดมากครับ "โหลดเลยดีกว่า" เพราะแม่งดีกว่า Launcher ที่ติดมากับมือถือแบบขาดรอย และอีกประเด็นที่ทำให้ App นี้น่าใช้มากก็คือ "แม่งฟรี" ฮะ คนไทย ต่อให้ App ถูกขนาดไหนก็ไม่ยอมจะซื้อกัน แต่ไม่เป็นไร บัดนี้สวรรค์ได้ประทานของถูกและดีให้พวกเมิงได้ใช้กันแล้วฮะ ลองโหลดโลด หรือถ้าใครยังไม่มั่นใจว่าจะโหลดดีมั้ยก็ลองอ่านตามประเด็นด้านล่างกันต่อจ่ะ

สวยมั้ย
ต้องบอกว่าสวยไม่สวยขึ้นอยู่กะเมิงแต่งหน้าจอสวยมั้ย Android ถูกออกแบบมาให้มีหน้า Home แยกกับหน้า Application หรือที่เรียกกันว่า App Drawer (หากใครใช้ iPhone มาจะงงนิดหน่อย) ซึ่งหน้า Home นี้เอง จะอนุญาติให้เราใส่พวก Widgets ตามความชอบ หรือความสะดวกได้เลย โดยที่หลักของการปรับแต่ง ก็จะค้ายกันคือลาก Widgets ที่เราชอบมาวางไว้บนหน้า Home ได้เลย แต่ที่เด็ดก็คือเราสามารถปรับเปลี่ยนชื่อ App Shortcut ที่มาวางบนหน้าจอได้ หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยน Icon หรือ Action ที่ 4 ปุ่มด้านล่างได้อย่างอิสระ โดยรวมแล้วการออกแบบ GLEX ทำออกมาได้ ค่อนข้างน่ารัก และ Clean หรือถ้าใครไม่ชอบแบบดั้งเดิมแต่ขี้เกียจแต่งเอง ใน Android Market ก็มี Themes ให้เลือก Download ได้ฟรีตั้งมากมายและ Update ต่อเนี่งอีกด้วย (ซึ่งนี่เป็นประเด็นที่สำคัญที่ทำให้ GLEX โด่งดังขนาดนี้) ถ้าลองเปรียบเทียบกับ Launcher Pro Plus หรือ ADW ในแง่ความสวย ผม No Comment  เพราะเรื่องความสวยมันเป็นความชอบส่วนตัว ผมชอบคุณอาจจะไม่ชอบก็ได้

ปรับได้เยอะมั้ย
เยอะค่อนข้างใช้ได้เลยทีเดียว (อย่างน้อยก็เยอะกว่าที่แถมมากะมือถือล่ะนะ) ซึ่งจะมาอธิบายทีละปุ่มเลยนะ
- Add คือ เพิ่ม Item ไม่ว่าจะเป็น Widgets, Short Cut หรือ อะไรก็ตามเข้ามาในหน้า Home Screen ซึ่งผู้ใช้งานอาจจะใช้วิธีการกด ค้างที่หน้า Home Screen ก็สามารถ Add ได้เหมือนกันจ้า
- Wallpaper เปลี่ยน Wallpaper ธรรมดานี่แหละ
- Theme เปลี่ยนหรือ Download Theme ได้ในนี้นะจ๊ะ
- Go Store ในเมนูนี้จะรวบรวม Product ที่ GO DEV TEAM เป็นผู้ผลิตนะจ๊ะ
- Edit เพิ่มหรือลดจำนวนหน้า Home Screen แถมยังจัดเรียง Sequence ของหน้าได้ด้วยนะเออ
- Preference ในเมนูนี้ก็จะรวบรวมการปรับแต่งมากมายซึ่งจะกล่าวถึงในภายหลัง
- Setting เมนูนี้คือเมนู Setting หลักของ Android นะจ๊ะ
- Effect อันนี้เอาไว้ปรับแต่งพวก Effect เวลาเปลี่ยนหน้า Home Screen, ตอนเปิด App Drawer และตอนเปลี่ยนหน้า App Drawer จ่ะ

ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่า GO DEV TEAM ทำได้ดีและยืดหยุ่น คราวนี้ลองมาดูใน App Drawer กันมั่งว่าปรับอะไรได้บ้าง
- เรียง Apps ได้หลายแบบ ทั้งตามตัวอักษร หรือตามว่าตัวไหน Installed ก่อน หลัง
- สร้าง Folder
- ซ่อน App ที่เราไม่ใช้งานบ่อย ก็จะทำให้เราหา App ง่ายขึ้นเยอะเลยนะเออ
- Setting ที่เกี่ยวกับ App Drawer เช่น จำนวน App ด้านนอนและด้านตั้ง, ตั้งค่าว่าจะให้มี Recent และ Running หรือไม่, หรือจะเปลี่ยนรูปแบบ App Drawer ไปเลยก็ยังได้

คราวนี้เราลองมาเจาะลึกว่าไอ้เมนู Preference เนี่ยทำอะไรได้บ้าง ซึ่งทั่วไปแล้ว GLEX ก็ได้แบ่งการ Setting เป็นตามประเภทได้ 6 หัวข้อคือ
1. Visual Setting ซึ่งจะทำให้เราปรับ Background, Icons, Font และ Screen Indicator ได้
2. Screen Setting ซึ่งจะทำให้เราสามารถปรับเกี่ยวกับ Home Screen เช่น จำนวน Icons แนวนอนและแนวตั้ง, เอาหรือไม่เอา Status Bar, หรือแม้กระทั่งปรับ Speed ในการเปลี่ยนหน้า
3. App Drawer Setting ก็ปรับอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับ App Drawer น่ะสิ
4. Effect Setting ก็เอาไว้ปรับ Effect เวลาเปลี่ยนหน้า (Transition) น่ะสิ
5. Gesture Setting ไว้ปรับ Action ตามต้องการ
โดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบการปรับแต่งได้เยอะขนาดนี้ ซึ่งหากถามว่าปรับได้เยอะมั้ย บอกได้เลยว่าเยอะ

เร็วมั้ย
อันนี้ตอบค่อนข้างยาก ต้องถามว่าเทียบกับอะไร หากเทียบกับ IOS ก็บอกได้เลยว่า ยังไง Android ก็ไม่มีทางเร็วกว่า IOS หรอก เพราะมันใช้ Java เป็น Base และอย่างที่ทุกคนรู้ Java มี Garbage Collection ซึ่งจะตื่นขึ้นมาเคลีย Garbage อยู่เป็นประจำซึ่งจะทำให้เกิดการกระตุกเล็กน้อย ตอนที่เราเล่นน่ะแหละ คราวนี้ ถ้าถามว่าทำไมไม่แก้ ก็ต้องตอบว่า ไม่ใช่ไม่แก้ แต่มันแก้ไม่ได้ เพราะ App ใน Android Market ขณะนี้เนี่ย มันเยอะเกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง Core OS แล้ว แล้วถ้าเทียบกับ Android ด้วยกันล่ะ
ก็ต้องตอบว่าแล้วแต่อยู่ดี Android Phone มี Specification ที่หลากหลาย ใช้ Hardware ที่ต่างกัน ดังนั้นมันก็เลยให้ Performance ที่ต่างกัน แต่โดยรวมแล้ว ถือว่าลื่นขึ้นมากทีเดียวหากเทียบกับ Android ที่มากับตัวเครื่อง

สรุปข้อดี
1. ลื่นขึ้นจาก Android ที่มาจากตัวเครื่อง และ Launcher อีกหลายตัว
2. ปรับแต่งได้เยอะ
3. มี Theme ให้เลือก
4. ฟรี
สรุปข้อเสีย
1. ลงใน SD Card ไม่ได้
2. อาจจะช้ากว่า Launcher Pro Plus และ Zeam Launcher

Thursday, December 29, 2011

โหมดนั่งมองตัวเอง ปีนี้เรียนรู้อะไรเพิ่มบ้าง

วันนี้วันที่ 30 ธันวาคม แถมเป็นวันศุกร์แห่งชาติอีกนะเทอว์ ซึ่งถ้าดูตามฮวงจุ้ยแล้ว วันนี้เป็นวันที่ไม่น่ามาทำงานมากที่สุด แต่ในเมื่อมาทำงานไปแล้วลองมานั่งมองตัวเองในปีที่จะผ่านไปนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันแฮะ อย่างน้อยเราก็จะได้ประเมินได้ว่าสำหรับการประกอบอาชีพแล้ว เรามีอาวุธอยู่กี่ชิ้น และจะเอาอาวุธพวกนี้ไปใช้อะไรได้บ้าง ซึ่งถ้าจะให้พูดสิ่งที่เรียนรู้มาทั้งหมดในปีที่แล้ว เขียนยาวเป็นอาทิตย์แน่นอน ดังนั้น Entry นี้จะพูดในด้านที่เกี่ยวกับอาชีพ Software Engineer ในแง่ Technical แล้วก็เน้นเป็นตัว Tools หรือ Programming Language ที่เป็น Open Source ละกันนะจ๊ะ


1. JSF
ซึ่ง JSF ตัวที่เรียนรู้นี่ก็คือ RichFace ซึ่งเป็น JSF Framework ตัวนึงอ่ะนะ ส่วนตัวไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่เนื่องจากมีบางครั้งมันชอบ Render ผิด ถึงแม้ว่ามันจะสะดวกสบายในแง่การ Coding กว่าการใช้ JSP อยู่ไม่น้อยก็ตาม หากใครกำลังมองหา Tools ที่ช่วยในการจัดการในด้าน View ใน MVC หรือขี้เกียจมานั่งเขียน Tab, Menu หรืออะไรพวกนี้ ลองดูก็ไม่เสียหาย และผมเชื่อว่าคุ้มค่ากับที่ลงทุนเสียเวลาเรียนรู้แน่นอนฮะ ในแง่ของ Reference ของ RichFace ก็หาไม่ง่ายแล้วก็ไม่ยากทำให้การเรียนรู้ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ให้ 3 ดาวฮะ ♥ ♥ ♥


2. Pentaho
เมื่อก่อนก็ใช้แต่ Jasper ในการทำ Business Intelligent แต่พอมารู้จักกับ Pentaho แล้ว อะไรมันก็สบายขึ้นโขเลยฮะ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างประทับใจกับ Tools ตัวนี้มาก เนื่องจากสามารถใช้สร้าง Report ได้แล้ว Data Transformation ยังเป็นอีก Function ที่ได้ใช้ประโยชน์อยู่บ่อยครั้ง และที่สำคัญการมี Tools นี้ยังเป็นการบอกใช้ว่าเราควร Transform Data ให้เรียบร้อยก่อนนะจ๊ะ ถึงจะดึง Report Data ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4 ดาวโลด ♥ ♥ ♥ ♥


3. Process Maker
โปรเจกนี้เกิดจากความขี้เกียจเขียน Work Flow Application เลยลอง Tools ที่ชื่อว่า Process Maker นี้ซึ่งมีดีกรีดังมาจากผู้ผลิต CRM Software เจ้าดังอย่าง SugarCRM เลยนะเออ แต่เนื่องจาก Reference หายากเหี้ยๆ เลยทำให้ Effort ที่ทุ่มเทลงไปไม่เต็มที่เท่าที่ควร บวกกับควาามขี้เกียจที่เกิดขึ้นกระทันหัน Project นี้ก็เลย Fail ไปตามระเบียบ แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าสนใจมาก ถ้าคราวหน้ามีโอกาสก็อยากจะลองให้เป็นให้ได้จ่ะ ♥ ♥ ♥


4. Android
อันนี้แนะนำมากฮะ เนื่องจากกำลังเป็นกระแสของโลก และเชื่อว่าถ้าศึกษาไว้ ไม่อดตายแน่นอน โดยจากประสปการณ์ส่วนตัวก็ลองเล่นไปลึกพอสมควร แต่ไม่ถึงกับต้องเขียน Native นะ ก็พบปัญหาของตัว Android นี้อยู่จำนวนไม่เยอะเท่าไหร่ ที่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ก็น่าจะเป็นเรื่อง Fragmentation นี่แหละ ส่วนเรื่องโครงสร้างของภาษาก็ไม่มีอะไรมาก Java + XML ซะส่วนใหญ่ ซึ่งหากลองวิเคราะห์แล้วก็ไม่ค่อยจะเหมาะกับการเอามาเขียนบน Smart Phone Devices เท่า Object-C เท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไรเพราะ ข้อดีมันก็เยอะเช่นกัน หากใครพอจะมีเวลาแล้วอยากหาอะไรที่สนุกและท้าทาย ลอง Android ซะหน่อยก็ไม่เสียหายนะ 5 ดาวฮะ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥


5. Grails
ตัวนี้มีโอกาสได้ลองช่วงท้ายปี เนื่องจากมีโปรเจกที่ต้องใช้พอดี ตอนแรกก็รู้สึกตื่นเต้นมว๊ากกกกก!! เนื่องจากรู้สึกเบื่อกับ Configuration Files ทั้งหลายแหล่ อีกทั้งตัวภาษา (Groovy) ที่ใช้ในการเขียนเนี่ย ยังไม่ค่อยจะชินเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นภาษาที่น่าสนใจมาก อ้อ เกือบลืมข้อที่ประทับใจในตัว Grails ก็คือ แก้ Code ปุ๊ป Run ต่อได้เลย (อย่างเจ๋ง) พอกันทีกับการ Redeploy แล้วต้องมานั่งรอ อุโฮะ สำหรับตัวนี้ยังศึกษาได้ไม่ค่อยลึกเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีคิดว่าปี 2012 นี้คงจะรู้อะไรมากขึ้น 4 ดาวโลด ♥ ♥ ♥ ♥

Wednesday, December 14, 2011

การติดต่อแบบทุ่งหญ้าใกล้ (NFC)

ดูจากหัวข้อคาดว่าทุกคนคงงงแดรกแน่นอน นี่ก็เป็นรูปแบบการแปลที่น่าทึ่งของ Google Translate ที่พยายามแปลภาษาไทยเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเหล่าผู้ใช้งานทั้งหลาย อีกหนึ่งเทคโนโลยีนึงที่กำลังจะเข้ามาในประเทศไทยคือ "เครื่องตัดสัญญาณอินเตอร์เนท" ที่เหลิมเป็ดบอกจะนำเข้ามาในราคา 400 ล้านบาทตามข่าวที่เห็นในหน้านี้ http://www.blognone.com/news/28340 ถ้าพูดกันตามตรงโดยที่ยังไม่เอาราคามารวม กุก็ยังไม่เคยได้ยินว่าโลกนี้มันมีเครื่องเหี้ยมนี่เกิดขึ้นมาแต่อย่างใด
ไร้สาระกันมาพอหอมปากหอมคอ วันนี้ตัวกระผมจะขอนำเสนอเทคโนโลยีที่กำลังจะมา แต่ไม่รู้ว่าจะโดนรึเปล่าในประเทศไทย นั่นก็คือ NFC เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำนี้มาบ้างหากติดตามข่าวสารด้าน Gadget หรือ Smartphone ซึ่งเป็นข่าวลือว่า Smartphone หลายรุ่นจะมีเทคโนโลยี NFC นี้ติดมาด้วย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับมันกับฮะ

NFC คืออะไร
NFC นั้นเป็นร้ายแฟรนชายส์ที่ขายไก่ทอดชื่อดัง (ทุ้ย!! นั่นมัน KFC) อันที่จริงแล้วมันย่อมาจาก Near Field Communication ซึ่งหมายถึงเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายระยะสั้น ซึ่งถ้าถามว่าสั้นแค่ไหนนั้น ผมขอบอกเลยว่าแค่ประมาณ 3 นาที่เท่าต้มมาม่าเสร็จ (ทุ้ย!! เค้าหมายถึงระยะทาง) หากจะพูดให้เข้าใจง่าย ให้นึกภาพตามถึงบัตรที่เราติ๊ดเข้าออฟฟิส (RFID) อ่ะ ก็คือจะมีตัวปล่อยสัญญาณแล้วก็มีตัวรับสัญญาณหลักการธรรมดาทั่วไป แล้วถ้าถามว่าทำไมต้องมี NFC ด้วย ตอนนี้เราก็มี Bluetooth อยู่แล้วนี่นะ
ถ้าลองเอา NFC มาเปรียบเทียบกับ Bluetooth ซึ่งเป็น การสื่อสารไร้สายระยะสั้นเหมือนกันจะเห็นได้ว่า NFC นั้นจะส่งข้อมูลได้ช้ากว่า Bluetooth และระยะที่สามารถส่งสัญญาณได้นั้นสั้นกว่า แต่อย่าไรก็ตามมันใช้พลังงานน้อยกว่า แล้วก็ไม่ต้อง Pair เหมือน Bluetooth โดยที่ Maximum Transfer Rate ของ NFC นั้นมีค่าเท่ากับ 424 KBIT/S และข้อดีจากการที่มันสามารถส่งสัญญาณได้ในระยะที่สั้นกว่าก็คือจะไม่มี Interception เยอะเหมือน Bluetooth ซึ่งถ้าหากใครยังไม่กระจ่างชัดเรื่อง NFC ก็สามารถไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Near_field_communication หรือ http://www.nfc-forum.org/home/ โดยในปัจจุบันนี้ผู้ผลิตโทรศัพท์หลายค่ายก็ได้พยายามผลักดันให้ NFC กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของโลก (ประเทศไทยไม่นับ 555+) เพื่อให้ใช้ในวงกว้าง ลองนึกภาพที่เราไม่จำเป็นต้องพกกระเป๋าตังค์ บัตรขึ้นรถไฟฟ้า ตั๋วหนัง หรือแม้กระทั่ง บัตรประชาชน ซึ่งแน่นอนหลักการทำงานก็จำเป็นจะต้องมีการส่งสัญญาณโดย NFC ซึ่งจะมีลักษณะเป็น Chips และถูกฝังลงในมือถือของเรา และยังต้องมีเครื่องรับสัญญาณเหมือนเครื่องติ๊ดบัตรที่เหล่าร้านค้าจะต้องไปสรรหามาตั้งไว้ เพราะ "คนเรามันตบมือข้างเดียวไม่ดัง" อย่างที่พวกพี่วง Instinct บอกมา ซึ่งอีกไม่นานโลกของเราก็คงจะได้เห็นการใช้งาน NFC ออกมาบ้างแหละ