Showing posts with label investment. Show all posts
Showing posts with label investment. Show all posts

Friday, January 27, 2012

จะซื้อหุ้นกู้ ดูอะไรบ้าง


ประเด็นของ Entry นี้ก็แค่อยากจะบอกว่า "ถ้าจะซื้อหุ้นกูเนี่ย เค้าดูอะไรกันบ้าง" จากการนั่งถกเถียงกับทีมงานเป็นเวลาซักพัก ก็ทำให้สามารถสรุปเป็นประเด็นหลัก ที่น่าสนใจได้ดังนี้

1. ดูความน่าเชื่อถือของบริษัท เหยด!! นี่เป็นประเด็นแรกที่ควรจะดูโดยแท้จริง หากเราจะซื้อหุ้นกู้ของบริษัทไหนแล้ว ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องทำความรู้จักบริษัทนั้นก่อน แล้วมีประเด็นอะไรบ้างล่ะที่ต้องดู
     1.1 ข้อมูลพื้นฐานของบริษัท เช่นว่า บริษัทนี้ผลิตส้นตีนอะไรขาย โครงสร้างเงินทุนเป็นยังไง กระแสเงินสดของมันเป็นยังไง ความสามารถในการทำกำไรมีเยอะมั้ยอะไรทำนองนี้แหละนะ
     1.2 ผลประกอบการ แน่นอน เป็นปัจจัยที่จะต้องนำมาพิจารณา เพราะถ้าผลประกอบการขอบริษัทมันไม่ดี มันก็มีความเสี่ยงที่จะเจ๊ง แล้วหนี้ของเราก็ปิ๋วไงล่ะจ๊ะ
     1.3 Rating & Investment Grade ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หุ้นจะได้รับการประเมินจากสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการประเมินหุ้น เช่น S&P ( ไม่ใช่ร้านเค้กนะ) ว่ามี Rating เท่าไหร่ ซึ่งผลของการประเมินมันก็จะออกมาเหมือน Grade นี่แหละ เช่น AAA, AA, BBB- อะไรทำนองนี้หละนะ ซึ่งหุ้นที่มีความเสี่ยงที่ยอมรับได้เนี่ย ไม่ควรจะมี Rating ที่ต่ำกว่า BBB- นะจ๊ะ หรือถ้า Rating ต่ำกว่านี้จริง ผู้ขายหุ้นก็ควรจะให้ราคา Coupon Rate ที่สูงกว่า เพื่อที่จะดึงดูดให้นักลงทุนยอมเสี่ยง

2. ดู Coupon Rate อันนี้เป็นปัจจัยหลักที่ดูเลยก็ว่าได้ เพราะเราจะได้เงินเยอะหรือน้อย ก็ดูตาม Coupon Rate นี่แหละจ้า ถ้ายิ่งให้  Coupon Rate  มากกว่าราคาตลาดเยอะ ก็ยิ่งดึงดูดนักลงทุน แล้วดูยังไงล่ะ โดยปกติแล้วการซื้อหุ้นกู้จะมีตัวเลขที่ต้องนำมาพิจารณาอยู่ 2 ตัวก็คือ ราคา Bond และ Coupon Rate ราคา Bond ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ราคา Face Value (ประมาณ 1,000 บาท มั้ง) ส่วน Coupon Rate นี่ก็คือ % ของดอกเบี้ยที่เราจะได้ โดยท้ายที่สุดแล้ว เราจะได้เงินเท่าไหร่ก็ให้ลองเอา Coupon Rate * Par Value ดู ก็จะได้เท่านั้นแหละ ซึ่งโดยทั่วไปในประเด็นของการดู Coupon Rate เราก็จะดูว่า
     2.1 Coupon Rate >= Market Rate ถูกป่ะ ถึงจะน่าสนใจ โดยที่ Face Value จะต้องเท่าเดิม (1,000) หรือน้อยกว่าเดิม (แต่ส่วนใหญ่ถ้า Coupon Rate เยอะกว่าตลาดมาก Face Value จะแพงกว่าราคา Par เพราะคนแม่งแย่งกันซื้อ)
     2.2 ถ้า Face Value เปลี่ยน เนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม โดยอาจจะเปลี่ยนโดย ถ้า Coupon Rate ให้มากกว่า Market Rate เยอะ ทำให้คนแห่มาซื้อ Face Value อาจจะแพงขึ้น เรียกว่า Premium Bond หรือ ในกรณีที่ Coupon Rate เท่าตลาด แต่ Rating บริษัทไม่ค่อยจะดี บริษัทก็อาจจะออกให้มาเป็น Discount Bond ก็ได้นะจ๊ะ อันนี้ต้องมานั่งคำนวนกันละ ว่าอันไหนให้ค่าตอบแทนมากกว่ากัน

3. ดูอายุหุ้น ดูไว้หน่อยก็ไม่เสียหาย เผื่อเราเกิดร้อนเงินกระทันหัน อยากได้ตังค์คืน ก็จะเกิดความเสี่ยงในแง่ที่เราต้องการจะขายเอาได้นะจ๊ะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หุ้นกู้ระยะยาวจะให้ดอกเบี้ยที่เยอะกว่าระยะสั้น เนื่องจากมันไปลดภาระของบริษัทได้

4. ดูสิทธิพิเศษ แหม่ ทำเป็นบัตรเครดิตไปได้ แต่มันมีจริงนะเออ ดูไว้หน่อย เผื่อขายหุ้นกู้ให้เรา แล้วให้สิทธิความเป็นเจ้าของ ก็น่าสนใจใช่มะ

5. ดูความเสี่ยง อันนี้ปวดหัวละ เพราะความเสี่ยงนั้นมันมีหลายด้านเหลือเกิน แต่โดยรวมแล้วก็น่าจะมีดังนี้
     5.1 ความเสี่ยงจากการผิดนัดหนี้ ถ้ามันเบี้ยวหนี้ เราทำไงดีฟระ
     5.2 ความเสี่ยงจากสภาพคล่องของตัวหุ้น สมมุติถ้าอยากขายก่อนกำหนด จะขายได้คล่องป่าวหว่า
     5.3 ความเสี่ยงด้านราคา สมมุติมีเหตุให้ขายก่อน ไม่ว่าจะร้อนเงิน หรืออะไรก็ตาม มันจะได้กำไรมากกว่าการถือจนครบกำหนดป่าวหว่า หรือจะขาดทุน โอ๊ย!! ปวดหมอง

6. ดูในแง่การลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนชนิดอื่น เช่น กำไรจากการซื้อและถือครบกำหนด มันได้มากกว่าการเอาเงินไปทำอย่างอื่นมั้ยวะ หรือถ้าเราฝากธนาคาร แม่งได้เงินเท่าซื้อหุ้นส้นตีนนี่เลย แถมความเสี่ยงน้อยกว่าอีก ก็ว่ากันไป

โครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม


ความจริงส่วนตัวไม่ถูกกะการเงินอย่างแรง แต่เมื่อสถานการณ์มันบังคับ ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปฮะ (T^T) ประเด็นต่อมาที่จะคุยกันก็คือ โครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมคืออะไร

โครงสร้างเงินทุนคืออะไร
โครงสร้างเงินทุนก็คือ แหล่งที่มาของเงินทุนทั้งหมดของธุรกิจ ซึ่งโดยทั่วไปจะประกอบด้วยหนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้นนั่นเอง
สืบเนื่องจาก Entry ที่ผ่านมา หนี้สินก็คือการออกตราสารหนี้ให้คนอื่นมาซื้อและมีสถานะเป็นเจ้าหนี้เรานี่แหละ ซึ่งการออกตราสารหนี้เนี่ยเราจะได้เงินมากมายมาทำทุนในการดำเนินกิจการของเรา แถมเรายังนำค่าใช้จ่ายการการจ่ายดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้ มาหักภาษีได้ด้วยนะ แสดงให้เห็นว่า การออกตราสารหนี้เนี่ย ทำให้เราได้เงินทุนโดยมีต้นทุนที่ต่ำ (เพราะเอาค่าใช้จ่ายมาหักภาษีได้) แต่ก็มีความเสี่ยงที่สูง เนื่องจาก เบี้ยวหนี้ไม่ได้ และมีระยะเวลาที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่แน่นอน  (เด๋วโดนกระทืบ) นั่นเอง
แล้วถ้าเป็นการออกตราสารทุนล่ะ มันก็มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า (เพราะเราสามารถไม่ออกเงินปันผลให้เจ้าของได้ หากกิจการไม่ดี) แต่ต้นทุนมันก็จะสูงกว่า (เพราะหักภาษีไม่ได้) ไงล่ะลูกเอ๊ย ดังนั้นหลักโดยสรุปก็ได้ดังนี้
- เจ้าหนี้ ต้องการอัตราผลตอบแทนที่ ต่ำกว่า เจ้าของ (ในขณะเดียวกันก็รับความเสี่ยงต่ำกว่าด้วย เพราะ เจ้าหนี้ มีสิทธิ์เรียกร้องในกระแสเงินสดก่อน เจ้าของ พูดง่ายๆ คือ หลังจากใช้หนี้หมดแล้ว กระแสเงินสดส่วนที่เหลือจึงเป็นของเจ้าของ)
- ผลตอบแทนของเจ้าหนี้ คือ “ดอกเบี้ย” นั้นสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้ แต่ผลตอบแทนของเจ้าของ ซึ่งก็คือ “เงินปันผล” ไม่สามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายได้

อ้าว!! แล้วโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมคืออะไรล่ะ
แน่นอน โครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมก็คือ สัดส่วนของ หนี้สิน / ส่วนของเจ้าของ ที่ทำให้กิจการมีมูลค่าสูงสุด (ต้นทุนน้อยที่สุด) หรือมีความมั่งคั่งสูงสุด โดยที่ต้นทุนของหนี้สินก็คือ ดอกเบี้ย หักลบด้วยส่วนที่เราหักภาษีได้  และต้นทุนของส่วนของเจ้าของก็คือ เงินปันผล เห็นป่ะ ถ้าคิดแบบโคตรควายว่าการจัดโครงสร้างเงินทุนแบบไหนจะทำให้มีต้นทุน (WACC) ต่ำที่สุด (WACC ต่ำ = ต้นทุนต่ำ = ดี) ก็บอกเลยว่า หนี้สิน 100% และ ส่วนของเจ้าของ 0% แต่ช้าก่อนต๋อย คิดแบบนี้มันก็ง่ายเกินไป เพราะยังไม่ได้เอาเรื่อง "ความเสี่ยง" เข้ามาเกี่ยวข้องเลยนะจ๊ะอีหนู ดังนั้นการจัดโครงสร้างเงินทุนจึงเป็นการ Trade Off ของการก่อหนี้เชิงว่า หนี้เพิ่มความเสี่ยงก็เพิ่ม หนี้เพิ่มผลตอบแทนก็เพิ่มตาม แล้วจุดไหนล่ะที่จะทำให้บริษัทมั่งคั่งสูงสุดในความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดโครงสร้างเงินทุน
เนื่องจากที่กล่าวมาข้างต้น เราควรจะตัดสินใจโดยใช้ปัจจัยที่เหมาะสม เพื่อให้บริษัทสามารถประเมินได้ว่า บริษัทยอมรับความเสี่ยงได้ขนาดไหน ดังนี้จ่ะ
1. ความสม่ำเสมอของยอดขาย อ้าว!! แน่ดิ ถ้าขายของได้ไม่สม่ำเสมอก็อาจจะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้เราน้อยจนไม่สามารถชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ได้
2. โครงสร้างสินทรัพย์ โดยปกติสินทรัพย์จะประกอบไปด้วย หนี้ + ส่วนของเจ้าของ ดูให้ดีนะจ๊ะ ถ้าหนี้เยอะ แล้วเราจะยังสามารถชำระหนี้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดหรือเปล่า
3. อัตราการเจริญเติบโต
4. ความสามารถในการทำกำไร
5. ภาษี หักได้เยอะมั้ย ถ้าไม่เยอะก็ลองพิจารณาว่าใช้ตราสารทุนดีกว่ามั้ย
6. การควบคุม การควบคุมกิจการว่า เราสามารถควบคุมกิจการให้เป็นไปตามเป้าหมายได้หรือไม่ หากควบคุมได้ง่าย ก็น่าเสี่ยงจริงมะ
7.ทัศนคติผู้บริหาร
8. ทัศนคติเจ้าหนี้ และตัวแทนจัดอันดับ
9. สภาวะตลาด
10. สภาวะภายในบริษัท
11. ความยืดหยุ่นในการจัดหาเงินทุน